“กินข้าวเป็นยา” บำรุงสุขภาพแบบ “บริโภคบำบัด”

ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมดีๆ ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามทีเดียว สำหรับ “มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ” ที่ผ่านพ้นไปแล้วหมาดๆ วัดได้จากประชาชนที่หลั่งไหลเดินทางมาร่วมชมงามอย่างคับคั่งแน่นขนัดทุกวัน ภายในงานมีบูธน่าสนใจมากมาย หนึ่งในนั้นคือบูธการแสดงตัวอย่างพันธุ์ข้าวชนิดต่างๆ ที่เติมสีสันด้วยลูกเล่นสนุกๆ อย่าง “โชว์ฝัดข้าว” ที่เรียกความสนใจจากประชาชนให้เข้ามามุงดูจำนวนมาก

หันซ้ายหันขวา เห็นแม่ชีสองท่านกำลังขะมักเขม้นจดข้อมูลจากนิทรรศการแสดงพันธุ์ข้าว และจากการสอบถามพบว่า ทั้งสองท่านเป็นพี่น้องกันคือแม่ชีจันแก้วและแม่ชีจันแดง แนวขี้เหล็ก เป็นแม่ชีอยู่ที่สำนักแม่ชีรัตนไพบูลย์ รามอินทรา อันเป็นหนึ่งในสาขาของสถาบันแม่ชีไทย โดยจุดประสงค์หลักที่มางานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติในครั้งนี้ก็คือการมาเก็บ เกี่ยวความรู้เรื่องข้าวนั่นเอง

“แม่ชีกำลังค้นคว้าเกี่ยวกับองค์ความรู้เรื่องข้าว การที่กินข้าวเป็นยา กินเพื่อรักษาโรคและบำรุงร่างกาย” แม่ชีจันแก้วให้ข้อมูล

ในขณะที่แม่ชีจันแดงอธิบายต่อว่าทุกวันนี้ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดี แม่ชีจึงถือโอกาสแนะนำวิธีการบำรุงสุขภาพง่ายๆ ที่หลายคนอาจจะนึกไม่ถึง ด้วย “ข้าว” ที่เราๆ ท่านๆ กินกันอยู่ทุกวันนี่แหละ!

“ข้าวเป็นอาหารหลักของหลายๆ ประเทศรวมทั้งประเทศไทย และนอกจากจะเป็นอาหารแล้ว ข้าวยังเป็นยาอีกด้วย ในคัมภีร์อายุรเวทระบุเอาไว้ว่าข้าว 9 สายพันธุ์หุงรวมกันจะเป็นการ “เข้ายา” ทำให้ข้าวกลายเป็นยาบำรุงร่างกาย แม่ชีคิดว่าน่าจะเป็นปฏิกิริยาเคมีของข้าวถักทอกันจนกลายเป็นสารที่ดีต่อ ร่างกาย จึงนำความรู้ที่ได้อ่านมามาทดลองใช้เพื่อบำรุงสุขภาพ”

แม่ชีจันแก้ว เสริมว่า ที่ผ่านมาทั้งแม่ชีจันแก้วและแม่ชีจันแดง มีความสนใจด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จึงได้ชักชวนกันไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมที่วัดพุทธปัญญา ในโครงการเผยแพร่ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกที่พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ ขุนพลการแพทย์แผนไทยผู้ล่วงลับเคยบุกเบิกเอาไว้

“ก่อนหน้านี้ สุขภาพไม่ดี ป่วยออดๆ แอดๆ ไม่แข็งแรง และมีโรคประจำตัวคือโรคภูมิแพ้ จึงนำความรู้เรื่องข้าวเป็นยามาลองปรับใช้กับตัวเอง เริ่มแรกแม่ชีเริ่มจากการกินข้าวไม่ขัดสีก่อน เพราะข้าวไม่ขัดสีคือข้าวที่อุดมไปด้วยวิตามิน ส่วนข้าวขาวที่ขัดสี ข้าวที่คนส่วนใหญ่ชอบกินนั้นจริงๆ มันคือ “กากข้าว” เป็นส่วนที่แทบไม่มีประโยชน์เลย”

แม่ชีทั้งสอง เล่าต่อไปว่า เมื่อออกสตาร์ทที่ข้าวไม่ขัดสีแล้ว เป้าหมายต่อไปก็คือรวมรวมข้าวสายพันธุ์ต่างๆ มาหุงรวมกันเพื่อทดลองตามตำราที่ได้ร่ำเรียนมา


“ตอนนี้รวบรวมได้ 6 สายพันธุ์ หลักๆ ก็จะเป็นข้างสังหยด ข้าวหอมนิล ข้าวประกายนิล ข้าวมันปู ข้าวกล้องแดง แล้วก็ข้าวดอย ข้าวไร่ ที่ชาวบ้านชาวเขาเขาปลูกในท้องถิ่น ก็ลองนำมาหุงกินดู ผ่านไปสักระยะหนึ่งปรากฏว่าร่างกายดีขึ้นจนสังเกตได้ ที่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยง่ายๆ ก็แข็งแรงขึ้น อาการภูมิแพ้ก็หายไป ตอนนี้ก็ยังค้นคว้าอยู่ เดี๋ยวนี้มีงานสมุนไพรและการแพทย์ทางเลือกมากขึ้น ซึ่งนับว่าดี เป็นการให้ความรู้แก่ประชาชน เวลามีงานแบบนี้แม่ชีก็จะพากันมาหาความรู้บ้าง มาศึกษาพันธุ์ข้าวบ้าง”

แม่ชีจันแก้ว กล่าวต่อไปอีกว่า แนวคิดต่อยอดเรื่องข้าวเป็นยานี้ มีการนำมาใช้บำรุงและรักษาสุขภาพกันอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสูตรของพ่อเลี้ยงวรรณ พิมพนิช ที่ป่วยเป็นมะเร็งกระดูกสันหลังระยะสุดท้ายและหายเพราะรักษาตัวแนวบริโภค บำบัด และเน้นการรับประทานข้าว 5 ชนิดรวมกัน หรือสูตรของการแพทย์แผนไทยที่ใช้ข้าว 9 ชนิด

“ตอนนี้แม่ชีก็ศึกษาไปเรื่อยๆ เท่าที่ทราบมา การนำข้าวหลายๆ ชนิดมาเข้ายา ปรากฏว่ามีคนนำมาลองหุงแล้วบำรุงสุขภาพและทำให้หลายๆ โรคหายไป อาการป่วยดีขึ้น อย่างของพ่อเลี้ยงวรรณ เมื่อลองกินข้าว 5 ชนิดแล้วหายจากโรคมะเร็ง ก็บริจาคความรู้เป็นวิทยาทาน ของแม่ชีเอง ถ้าเก็บข้อมูลได้ครบและทดลองว่าได้ผลดีแล้ว ก็จะบอกต่อความรู้ให้แก่ประชาชนทั่วไปให้เป็นวิทยาทานเช่นกัน”

แม่ชีทั้งสองท่านยังแนะนำการรักษาสุขภาพแบบง่ายๆ ไม่สิ้นเปลืองเวลา และสามารถนำมาประยุกต์กับชีวิตประจำวันในสังคมอันเร่งรีบได้อย่างสะดวกว่า หากยังไม่สะดวกจะหาข้าวหลากหลายสายพันธุ์มาหุงกินแทนข้าวขาว ก็ควรเปลี่ยนจากข้าวขาวมาเป็นข้าวกล้องก่อน เมื่อกินไประยะหนึ่งร่างกายจะดีขึ้นจนรู้สึกได้

แต่หากพอมีเวลาพอจะไปเดินหาซื้อของในห้างสรรพสินค้า ปัจจุบันมีข้าวหลายชนิดหลายสายพันธุ์ถูกนำมาวางขายในห้างสรรพสินค้าแล้ว ตามกระแสการใส่ใจสุขภาพที่มากขึ้นของคนทั่วไป ผู้ที่สนใจอยากลองหุงข้าวรวมๆ กันหลายชนิดเพื่อบำรุงสุขภาพ ก็สามารถซื้อหาได้ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำหลายแห่ง

“เคล็ดลับอีกอย่างที่แม่ชีอยากแนะนำ ก็คือ การดื่มน้ำข้าว น้ำข้าวในที่นี้หลายคนอาจจะคิดว่ายุ่งยากเพราะต้องหุงข้าวแบบโบราณ แต่จริงๆ แล้วสูตรของแม่ชีเป็นการหุงจากหม้อหุงข้าวไฟฟ้านี่แหละ ไม่ยากอะไร เริ่มจากซาวข้าวหุงข้าวในหม้อหุงข้าวไฟฟ้าตามปกติ แต่เติมน้ำให้มากๆ เข้าไว้ แล้วก็กดให้หม้อหุงข้าวทำงาน รอฟังเสียงน้ำเดือด พอน้ำเดือด ก็เปิดฝาก่อน แล้วตักน้ำข้าวออกมาดื่ม น้ำข้าวนี้จะอุดมไปด้วยวิตามิน กินเป็นของดี คนป่วยกินดี แต่จะให้ดีคือกินตั้งแต่ตอนไม่ป่วย กินเพื่อบำรุงสุขภาพได้เรื่อยๆ ทุกวัน และเมื่อตักน้ำข้าวออกมาดื่มแล้ว ก็เติมน้ำลงไปให้พอดีหุงข้าวสุกเป็นข้าวสวยตามปกติ”

แม่ ชีจันแดง ทิ้งท้ายด้วยว่า ทุกวันนี้แม่ชีแทบไม่สนใจเลยว่ากับข้าวจะเป็นอะไร เพราะสรรพคุณของข้าว 6 ชนิดรวมกันทำให้แม่ชีร่างกายแข็งแรง แต่เพื่อให้ได้สารอาหารครบหมู่ กับข้าวหลักของแม่ชีส่วนใหญ่จะเป็นผักและปลาจิ้งจ้างตัวเล็กๆ เท่านั้น กินเช่นนี้มานานแล้ว และพบว่าไม่เจ็บไข้ได้ป่วยอันใดเลย

ที่มา www.manager.co.th

กินอะไรให้ใบหน้าชุ่มชื่น


ใบหน้าจะชุ่มชื่นได้ต้องอาศัยวไวตามิน เอในจำนวนที่มากกว่าได้รับปริมาณปกติและควรปฏิบัติดังนี้

1. งดการใช้ครีมล้างหน้า เพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อนถ้าใช้ครีมล้างหน้าแล้วจำเป็นต้องใช้กระดาษเช็ด ออกความจริงแล้วใบหน้าที่เปื้อนเหงื่อไคลและฝุ่นละอองควรจะต้องใช้สบู่และ ใช้น้ำล้างจะทำให้สะอาดมากกว่า

2. การใช้ครีมรองพื้นอยู่ตลอดเวลาก็จะทำให้อุดรูขุมขนและเหงื่อทำให้เกิดการอุดตันของของเสียได้

3. ควรบำรุงด้วยโภชนาการ ผักที่มีไวตามินเอสูง ในปริมาณ 100 กรัมจะมีไวตามิน เอ ดังนี้
++ ใบยอ มีไวตามิน เอ 43,333 หน่วย
++ ใบแมงลัก มีไวตามิน เอ 26,000 หน่วย
++ ผักตำลึง มีไวตามิน เอ 18,608 หน่วย
++ ยอดแค มีไวตามิน เอ 12,466 หน่วย
++ ใบขี้เหล็ก มีไวตามิน เอ 7,625 หน่วย
++ ผักบุ้งจีน มี ไวตามิน เอ 6,300 หน่วย
++ ใบโหระพา มีไวตามิน เอ 20,712 หน่วย
++ ผักขมหนาม มีไวตามิน เอ 11,090 หน่วย
++ ยอดมะละกอ มีไวตามิน เอ 18,250 หน่วย
++ ชะอมมีไวตามิน เอ 10,066 หน่วย
++ กระถิน มีไวตามิน เอ 7,883 หน่วย

ไวตามินเอจะช่วย สิ่งที่เป็นพื้นผิวของร่างกายทั้งภายนอกและภายใน ทางภายนอกก็คือ ผม เล็บ นัยน์ตา ทางภายในก็คือ เยื่อบุพื้นผิวภายในทั้งหลาย เยื่อบุผิวในปาก ในลำไส้ หรือที่เรียกว่าทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ และเยื่อบุพื้นผิวที่ไหน ๆ ก็ต้องอาศัยไวตามิน เอทั้งสิ้น

นอกจากจะได้รับไว ตามิน เอ จากธรรมชาติแล้ว ยังสามารถได้รับ ไวตามิน เอที่สกัดเรียบร้อยแล้ว เช่น รัปประทานวันละ 1 แคปซูล (ขนาด 25,000 ยูนิต) สองสัปดาห์หลังจากนั้นรับประทานวันเว้นวัน จะทำให้ผิวหนังสวยอ่อนนุ่มกว่าเดิม เส้นผมเป็นเงา


อาหารที่ไว้ทานเฉพาะโรค

วันนี้เกร็ดความรู้มีอาหารที่ไว้ทานเฉพาะโรคมาฝากกัน...

- ปวดเข่า (ไม่ใช่โรคเกาต์) ควรกินอาหารที่ทำด้วยขิงจะช่วยลดอาการอักเสบ เช่น หมูผัดขิง ต้มส้มปลากระบอก ปลาเจี๋ยน น้ำพริกขิง เมี่ยงคำ เมี่ยงปลาทู

- ท้องผูก ควรกินอาหารที่มีเส้นใยสูง ข้าวกล้อง น้ำพริกผักจิ้ม แกงส้มดอกแค แกงเลียงตำลึงหัวปลี สะเดาลวกน้ำปลาหวาน แกงเลียงชะอมปลาย่าง ยำมะเขือพวง แกงป่าขี้เหล็กหมูย่าง

- คอเลสเตอรอลสูง ควรกินอาหารที่มีเส้นใยสูง หลีกเลี่ยงเครื่องในสัตว์ อาหารทะเล กุ้ง หอย ปู หลีกเลี่ยงอาหารมันจัด หลีกเลี่ยงไขมันสัตว์

- เบาหวาน ควรลดอาหารหวาน มัน เค็มจัด หันกินข้าวกล้อง กินผักใบ เช่น น้ำพริกจิ้มผักบุ้งต้ม หัวปลีต้ม ดอกแค ยอดแคต้ม มะระขี้นกต้ม กินปลา กุ้ง กินอาหารประเภทยำ เช่น ยำใบบัวบก ยำผักกูด ยำยอดกระถิน แกงส้มผักบุ้ง แกงส้มผักกระเฉด ต้มยำหัวปลี (กินอาหารที่มีเส้นใยสูง ไขมันต่ำ รสไม่หวาน)

- ความดันสูง จำกัดอาหารไขมัน อาหารหวาน อาหารรสเค็ม ควรกินข้าวกล้อง ลดอาหารที่ใส่กะทิใช้ผักที่มีเส้นใยสูงทำอาหาร เช่น มะเขือพวง มะระขี้นก สะเดา กระเฉด ชะอม หัวปลี ใบบัวบก กระถิน โดยกินวันละประมาณ 200 กรัม และทำอาหารใส่กระเทียมให้มากกว่าปกติ

- โรคเกาต์ งดเครื่องในสัตว์ทุกชนิด กินปลาเป็นหลัก ใช้ผักใบทำอาหารเอายอดออก เอาเมล็ดออก ผักประเภทหน่อ เมล็ด ยอด จะเพิ่มความปวดให้มากขึ้น แตงกวากินแต่เปลือก ตำลึงเด็ดยอดออก ถั่วงอกเอาหัวออก เป็นต้น) ดื่มน้ำตะไคร้ และดื่มน้ำวันละประมาณ 8-10 แก้ว

- นอนไม่หลับ กินข้าวกล้องเป็นประจำ กินผักสดผลไม้สดมากใน 1 วัน เช่นกินผักรวมกัน (ใน 1 วัน ประมาณ 200 กรัม ผลไม้ ส้ม 1 ลูก มะละกอ 1 จาน 8 คำ สับปะรด 1 จาน 8 คำ) ใช้ใบขี้เหล็กลวกจิ้มน้ำพริก หรือใช้ใบขี้เหล็กแกงกับปลาย่าง

- ท้องผูก กินข้าวกล้อง กินผักที่มีเส้นใยสูง เช่น มะระขี้นก สะเดา มะเขือพวง ใช้ต้มจิ้มน้ำพริกหรือทำน้ำพริกมะเขือพวง ผัดมะระขี้นกกับไข่ กินผักพื้นบ้านที่มีฤทธิ์เป็นยาระบาย เช่น ยอดขี้เหล็ก กินมะละกอสุกเป็นประจำ ต้มน้ำมะขามเปียกดื่มเป็นเครื่องดื่มประจำ

- ท้องอืด ควรกินผักพื้นบ้านที่มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหาร เช่น กินตำลึงจิ้มน้ำพริก แกงเลียง แกงจืด จะช่วยย่อยอาหารประเภทแป้ง กินสับปะรดเป็นอาหารหวานหลังกินข้าว สับปะรดช่วยย่อยอาหารประเภทเนื้อสัตว์ กินเนื้อสัตว์ควบคู่กับผักที่เป็นสมุนไพรช่วยย่อยเช่น กระชาย ตะไคร้ กะเพรา พริกไทย

รู้อย่างนี้แล้ว ใครเป็นโรคอะไรก็ลองหาอาหารที่แนะนำมาทานกันได้ เพื่อสุขภาพที่ดี.

เดลินิวส์

พริก ต้านมะเร็งต่อมลูกหมาก














การ วิจัยในหนูทดลอง (ตีพิมพ์ในวารสาร Cancer Research) พบว่าสารแคปไซซิน (capsaicin) หรือสารเผ็ดในพริก ช่วยชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็งที่ต่อมลูกหมากได้ โดยหนูที่ได้รับแคปไซซินมีขนาดเซลล์มะเร็งเล็กเพียง 1/5 ของเซลล์มะเร็งในหนูที่ไม่ได้รับแคปไซซิน

ผลการวิจัยนี้จะใช้ได้กับ คนหรือไม่ ยังต้องรอพิสูจน์กันต่อไป แต่ถ้าใครใจร้อนอยากกินพริกต้านมะเร็งต่อมลูกหมากให้ได้ผลอย่างหนูทดลองบ้าง นักวิจัยก็แย้มว่าให้กินพริกเท่ากับหนู คือ สารแคปไซซินขนาด 400 มิลลิกรัม 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เทียบได้กับพริกเม็กซิกันประมาณ 3-8 เม็ด ขึ้นกับว่าแต่ละเม็ดจะเผ็ดแค่ไหน

สุขภาพเสื่อมจากคอมพิวเตอร์…ผักผลไม้ช่วยได้


เคยนับดูเล่นๆ ไหมคะว่า วันหนึ่งๆ เราต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์วันละกี่ชั่วโมง เมื่อไม่นานมานี้ พนักงานหญิงของออฟฟิศแห่งหนึ่งในมณฑลหูเป่ย ประเทศจีน นิยมสวมหน้ากากกันทั่วออฟฟิศ เพราะต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์วันละ 4-5 ชั่วโมง สำหรับคนทำงานอย่างเราๆ ฟังแล้วก็ได้เวลาสังเกตตัวเองว่ามีปัญหาสุขภาพบ้างหรือเปล่า ลองมาเช็คอาการ พร้อมกับดูอาหารที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายกันเลยค่ะ

ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนล้า กล้ามเนื้อเกร็ง ตึง

การรับประทานบร็อกโคลี่ ปลากินทั้งกระดูก เพราะมีแคลเซียมที่จำเป็นต่อการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทและต่อการเกร็ง คลายกล้ามเนื้อ รับประทาน ผักโขม ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดทานตะวัน จมูกข้าวสาลี ที่มีแมกนีเซียม ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย


ตาอ่อนล้า ตาพร่ามัว

ควรรับประทาน คะน้า พริก ผักปวยเล้ง มันเทศ ผักหวานบ้าน ตำลึง เพราะมีลูเทอินและซีเซนทิน ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสื่อมของศูนย์จอตา ลดความเสี่ยงของการเกิดจอประสาทตาเสื่อมตาได้ นอกจากนี้ควรรับประทาน แครอต ผักปวยเล้ง ฟักทอง เพราะมี เบตาแคโรทีน มีส่วนช่วยป้องกันการเสื่อมของศูนย์จอตา


มีปัญหาผิวหน้า

หากมีปัญหาผิวหน้า เช่น มีริ้วรอยเหี่ยวย่น และสงสัยเหมือนสาวๆ ที่ประเทศจีนว่า อาจเกิดจากรังสีจากคอมพิวเตอร์ ควรรับประทาน ผักผลไม้สีสดทุกชนิด เพื่อเพิ่มสารต้านออกซิเดชั่น นอกจากนี้ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ และรับประทานอาหารเย็นที่ย่อยง่ายและรสไม่จัด เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานไม่หนัก ทำให้เริ่มวันใหม่อย่างสบายตัว


เมื่อกินถูกแล้ว ก็อย่าลืมออกกำลังกายช่วยเพิ่มความกระฉับกระเฉงด้วยนะคะ...


ข้อมูลจาก :
www.cheewajit.com